รายละเอียดบทความ

เจาะลึกโรคซึมเศร้าและประโยชน์ไซโคไบโอติก (Psychobiotics)

มกราคม 11, 2024

แชร์ไปยังโซเชียลมีเดีย:

Psychobiotics คือ-ประโยชน์ไซโคไบโอติก

ในปัจจุบันหลายคนเริ่มมีความเข้าใจเกี่ยวกับโรคซึมเศร้ามากยิ่งขึ้นและยอมรับว่าเป็นโรคมากกว่าเพียงแค่ความอ่อนแอทางจิตใจส่วนบุคคล เป็นเรื่องความบกพร่องของสารเคมีในสมองด้วย ผู้ป่วยโรคซึมเศร้ามักจะมีอาการหม่นหมอง หงุดหงิดง่าย ขาดความสนใจต่อสิ่งรอบข้าง น้ำหนักลดลงหรือมากขึ้นอย่างรวดเร็วอ่อนเพลีย ไม่มีเรี่ยวแรง มีผลต่อทั้งความคิด จิตใจ และสุขภาพร่างกาย จนอันตรายถึงชีวิต [1]

โดยในบทความนี้ Zenbio จะพาไปทำความรู้จักกับโรคซึมเศร้า วิธีสำรวจตนเองเบื้องต้นว่ามีความเสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้าหรือไม่ และวิธีดูแลสภาพจิตใจพื้นฐาน พร้อมแนะนำให้รู้จักกับโพรไบโอติกช่วยซึมเศร้าหรือที่เรียกโพรไบโอติกประเภทนี้ว่า ไซโคไบโอติก (Psychobiotics) >>คลิ๊กอ่าน

ทำความรู้จักกับโรคซึมเศร้าที่มีผลต่อคนไทย

จากผลวิจัยและการเก็บสถิติเกี่ยวกับโรคซึมเศร้าที่มีผลต่อสังคมไทยได้ข้อสรุปเป็นดังนี้[2] [3] [4]

  • ส่วนใหญ่พบว่าเพศหญิงมีอัตราการป่วยเป็นโรคซึมเศร้าได้มากกว่าเพศชาย 12%
  • อัตราการฆ่าตัวตายในเพศชายมีจำนวนมากกว่าผู้หญิง
  • เมื่อเพศชายเกิดอาการเครียดหรือซึมเศร้าขั้นรุนแรง พวกเขาจะมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจมากกว่าเพศหญิงอีกด้วย
  • มีจำนวนผู้ป่วยเป็นโรคซึมเศร้ามากกว่า 1.5 ล้านคน และเพิ่มขึ้น 1-2% ในทุกๆปี
  • ช่วงปีที่ผ่านมาคนไทยพยายามฆ่าตัวตายชั่วโมงละ 6 คน หรือทั้งปีมากกว่า 53,000 คนและเสียชีวิตราว 4,000 คน ถือเป็นสาเหตุการตายอันดับต้นๆของไทย
  • ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าส่วนใหญ่ มีอายุ 15-29 ปี เท่านั้น
  • 70% ของผู้ป่วยโรคซึมเศร้าเสียชีวิตก่อนวัยอันควร ซึ่งเป็นวัยหนุ่มสาวที่เป็นกำลังหลักให้กับประเทศชาติ แต่ต้องพบกับโรคซึมเศร้าและด่วนจากไปก่อน
  • ผู้ป่วยที่มีอายุมากกว่า 25 ปีที่เป็นโรคซึมเศร้าหากไม่รับการรักษา ส่วนใหญ่จะเป็นโรคซึมเศร้าเรื้อรังทางจิตใจในระยะยาว ดังนั้นควรพบแพทย์และรักษาแต่เนิ่น ๆ ก่อน

โรคซึมเศร้าคืออะไร?

โรคซึมเศร้า คือ อาการผิดปกติของอารมณ์ซึ่งเป็นโรคทางจิตเวชประเภทหนึ่ง เมื่อเกิดเหตุการณ์เลวร้ายที่ส่งผลกระทบต่อความรู้สึก ผู้ที่เป็นโรคซึมเศร้าจะมีสารเซโรโทนิน (Serotonin) ในสมองลดลง ส่งผลให้เกิดอารมณ์ขุ่นมัว รู้สึกเศร้าหมอง และไม่มีความสุข หากไม่ได้รับการรักษาอาจเกิดผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน การทำงาน และความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง นำไปสู่ภาวะซึมเศร้าที่รุนแรงมากขึ้น เช่น มีอาการหลงผิด หูแว่ว มีความคิดทำร้ายตนเองหรือฆ่าตัวตาย โดยโรคซึมเศร้ามีสาเหตุมาจากปัจจัยกระตุ้น[5] ดังนี้
            1. ความเครียดสะสม เกิดอาการนอนไม่หลับและอาการอื่นๆ
            2. การสูญเสียครั้งใหญ่
            3. สภาพจิตใจที่เกิดจากการเลี้ยงดู
            4. สภาพแวดล้อม ที่เคยอาศัยอยู่หรือที่ยังอยู่ ได้ทำร้ายจิตใจหรือเพิ่มความเครียด
            5. ความสัมพันธ์กับคนรอบข้างไม่ราบรื่น
            6. ความเสี่ยงทางพันธุกรรม

ประเภทของโรคซึมเศร้า

โดยโรคซึมเศร้าสามารถแบ่งประเภทได้ตามพฤติกรรมและภาวะอารมณ์[6] ได้แก่

  1. โรคซึมเศร้า หรือ Major Depression Disorder 
    ผู้ที่เป็นโรคซึมเศร้าประเภทนี้จะมีความรู้สึกซึมเศร้าอย่างต่อเนื่อง จนส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น รู้สึกท้อแท้ไม่อยากทำอะไร เบื่อหน่ายกิจกรรมที่เคยชอบ และนอนน้อยหรือมากเกินไป เป็นต้น
  2. โรคซึมเศร้าเรื้อรัง หรือ Persistent Depressive Disorder
    ผู้ที่เป็นโรคซึมเศร้าประเภทนี้จะมีความรู้สึกซึมเศร้ายาวนานมากกว่า 2 ปี ขึ้นไป ซึ่งความรู้สึกซึมเศร้าจะขึ้นๆ ลงๆ และอารมณ์ไม่คงที่
  3. โรคซึมเศร้าแบบไบโพลาร์ หรือ Bipolar Disorder
    โรคซึมเศร้าแบบไบโพลาร์ หรือที่รู้จักกันในชื่อโรคไบโพลาร์ โดยผู้ที่เป็นโรคไบโพลาร์จะมีความรู้สึกซึมเศร้าสลับกับความรู้สึกครื้นเครงผิดปกติ
  4. โรคซึมเศร้าหลังคลอด หรือ Postnatal Depression
    ผู้ที่เป็นโรคซึมเศร้าหลังคลอดจะมีภาวะซึมเศร้าสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนและระยะหลังคลอด
  5. โรคซึมเศร้าตามฤดูกาล หรือ Seasonal Affective Disorder
    ผู้ที่เป็นโรคซึมเศร้าตามกาลเวลาจะมีภาวะซึมเศร้าผิดปกติในช่วงเวลาเดียวกันของแต่ละปี โดยส่วนใหญ่มักเกิดอาการขึ้นในฤดูหนาว ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่กลางคืนยาวนานกว่ากลางวัน
  6. โรคซึมเศร้าแบบจิตหลอน หรือ Psychotic Depression
    ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าแบบจิตหลอน คือ ผู้ที่มีภาวะซึมเศร้าร่วมกับอาการหลงผิด หรือหูแว่ว
  7. กลุ่มอาการซึมเศร้าก่อนมีประจำเดือน หรือ Premenstrual Dysphoric Disorder
    ผู้ที่มีอาการซึมเศร้าก่อนมีประจำเดือนจะมีภาวะซึมเศร้าผิดปกติ และมีอารมณ์แปรปรวนรุนแรง ซึ่งสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนก่อนมีประจำเดือน
  8. โรคซึมเศร้าที่เกิดจากความผิดปกติของการปรับตัว หรือ Reactive Depression/ Adjustment Disorder 
    ผู้ที่มีภาวะซึมเศร้ากลุ่มนี้มักมีสาเหตุจากเหตุการณ์สะเทือนใจหนัก เช่น สูญเสียคนสำคัญ หรือการพลัดพรากจากคนที่รัก

อันตรายของโรคซึมเศร้า

แม้จะเป็นความเจ็บป่วยทางจิต แต่โรคซึมเศร้าสามารถส่งผลกระทบต่อร่างกายและชีวิตประจำวันได้อย่างชัดเจน[7] ได้แก่

  1. เกิดปัญหาด้านความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง เช่น ครอบครัว แฟน เพื่อน หรือเพื่อนร่วมงาน เป็นต้น
  2. ความเจ็บปวดและเจ็บป่วยทางร่างกาย เช่น อาการปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ หรือภูมิคุ้มกันตก เป็นต้น
  3. โอกาสติดสารเสพติด เช่น สุรา บุหรี่ และสารเสพติดผิดกฎหมายต่างๆ 
  4. ความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเรื้อรังที่เกิดจากอาการนอนไม่หลับ หรือนอนหลับมากเกินไป เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจ[8]
  5. ปัญหาสุขภาพจากการรับประทานอาหารมากหรือน้อยเกินไป เช่น กล้ามเนื้ออ่อนแรง หายใจติดขัด หรือมีน้ำหนักมากกว่าเกณฑ์ เป็นต้น[9]
  6. ทำร้ายตนเอง หรือพยายามฆ่าตัวตาย โดยผลการสำรวจชี้ว่าใน 1 ปี มีผู้เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายราว 700,000 คน ทั่วโลก[10]

วิธีสำรวจตนเองเบื้องต้นว่ามีความเสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้าหรือไม่

โดยวิธีสำรวจตนเองเบื้องต้นมีอยู่ 9 ข้อ ซึ่งผู้ที่มีอาการมากกว่า 5 ข้อ เป็นระยะเวลานานเกิน 2 สัปดาห์ คือ ผู้มีความเสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้า ควรเข้าพบจิตแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง[5]

  1. ความสนใจและความสุขต่อสิ่งรอบตัวลดลง
    ไม่ค่อยสนใจหรือไม่ค่อยมีความสุขกับสิ่งรอบตัวหรือกิจกรรมที่เคยชอบ
  2. อารมณ์ผิดปกติ
    รู้สึกเศร้า เบื่อ หรือหงุดหงิดตลอดทั้งวัน
  3. ผลกระทบจากพฤติกรรมการรับประทานอาหารที่เปลี่ยนไป
    น้ำหนักลดหรือเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากพฤติกรรมการรับประทานอาหารเปลี่ยนไป
  4. ไม่อยากทำกิจวัตรประจำวัน
    รู้สึกอ่อนแรงหรืออ่อนเพลียตลอดเวลา จนรู้สึกไม่อยากทำกิจกรรมต่างๆ รวมถึงกิจวัตรประจำวัน เช่น อาบน้ำ สระผม และแปรงฟัน เป็นต้น
  5. เชื่องช้าหรือกระวนกระวาย
    มีอาการเชื่องช้าหรือกระวนกระวายอย่างเห็นได้ชัด
  6. นอนไม่หลับหรือนอนหลับมากผิดปกติ
    มีอาการนอนไม่หลับหรือนอนหลับมากผิดปกติ
  7. การตัดสินใจแย่ลง
    สมาธิลดลง ใจลอย ทำให้มีปัญหาเรื่องการตัดสินใจ
  8. มีความคิดกับตนเองในแง่ลบ
    อาจมีความคิดว่าตนเองไร้ค่าหรือโทษตนเองทุกเรื่อง
  9. คิดเรื่องความตายหรือไม่อยากมีชีวิตอยู่บ่อยครั้ง 
    มีการคิดเรื่องความตาย การทำร้ายตนเอง หรือวางแผนจบชีวิตตนเองบ่อยครั้ง

ทาง Zenbio ได้แนบแบบประเมินสุขภาพจิตจาก กรมสุขภาพจิตเพื่อให้ท่านสามารถลองทำแบบทดสอบ เพื่อประเมินอาการด้วยตนเอง หากท่านพบว่าเข้าเกณฑ์ต่างๆ ตามที่ระบบแจ้งผล ควรนัดเพื่อพบจิตแพทย์โดยด่วน>>คลิ๊กที่นี่

แนะนำวิธีดูแลสภาพจิตใจพื้นฐาน

  1. การนอนและพักผ่อนอย่างเต็มที่ [11] [12]
    มีงานวิจัยได้วิเคราะห์ว่าหนึ่งในสาเหตุที่จะก่อให้เกิดโรคซึมเศร้า คืออาการนอนไม่หลับยิ่งผู้ป่วยที่เป็นโรคนอนไม่หลับ (Insomnia) ยิ่งมีโอกาสเสี่ยงสูง ดังนั้นเราจึงควรนอนพักผ่อนเยอะ และเพียงพอ หลีกเลี่ยงกิจกรรมก่อนนอนที่ทำให้นอนไม่หลับ เช่น
    • ห้ามจ้องมือถือหรือหน้าจอในช่วง 2 ชั่วโมงก่อนนอน
    • ไม่ควรดื่มกาแฟหรือรับคาเฟอีนตอนเย็น
    • ไม่ควรทำกิจกรรมที่ก่อเกิดความเครียดก่อนนอน

  2. ออกกำลังอย่างเป็นประจำ
    การศึกษาชี้ว่าออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอสามารถช่วยลดโอกาสเป็นโรคซึมเศร้าได้ อีกทั้งยังช่วยเสริมประสิทธิภาพการรักษาโรคซึมเศร้าร่วมกับจิตบำบัดแบบ CBT หรือ Cognitive-Behavioral Therapy [11] 
    • กระตุ้นให้หลั่งสารเอ็นโดรฟิน (Endorphin ผลิตจากระบบประสาทส่วนกลางและต่อมใต้สมอง ร่างกายจะปล่อยสารนี้ออกมาเพื่อตอบสนองต่อความเจ็บปวดหรือความเครียด) ในสมอง ทำให้อารมณ์ดีขึ้น
    • ช่วยเพิ่มอุณหภูมิของร่างกาย ซึ่งจะมีผลทางบวกต่อระบบประสาทส่วนกลาง (Central Nervous System) เป็นระบบที่ผลิตสารเอ็นโดฟิน
    • ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรง ซึ่งส่งผลดีต่อ Gut-Brain Axis มีผลต่อระบบประสาทหลายส่วนของร่างกายและจิตใจ ให้ป้องกันโรคซึมเศร้า

  3. การจัดการความคิดและทัศนคติ
    การจัดการความคิดอย่างสร้างสรรค์และมีทัศนคติในเชิงบวกสามารถช่วยลดโอกาสเจ็บป่วยทางจิตเวชได้ เช่น โรคซึมเศร้า ภาวะเครียด และภาวะวิตกกังวล [13]  จากงานวิจัยแนะนำการจัดการทัศนคติด้วยกิจกรรมเหล่านี้ เช่น
    • ลดการเล่นโซเซียลมีเดีย เพราะหากเสพติดจนเกินไปอาจจะก่อเกิด อาการคิดมาก การเปรียบเทียบ และทำให้เครียด ควรใช้เพื่อการติดต่อหรือเพื่อการงาน [11]
    • สร้างสายพันธ์ที่ดีกับผู้คน งานวิจัยได้บ่งบอกว่าหากเรามีคนคอยสนับสนุนทางจิตใจ ที่ปรึกษาที่ดี หรือมีเพื่อนร่วมทำกิจกรรมใหม่ๆ สามารถช่วยป้องกันภาวะซึมเศร้าได้ [11]
    • ออกห่างจากสายสัมพันธ์ที่แย่ [11] หากแฟน เพื่อน หรือครอบครัว มีสภาพแวดล้อมที่ คุณอยู่แล้วก่อเกิดความเครียด และยิ่งมีการปะทะทางอารมณ์หรือวาจามาก เราควรเปลี่ยนสภาพแวดล้อม พักเบรกหรือออกห่าง เพราะจากงานวิจัย สายสัมพันธ์ที่แย่มีผลต่อทางจิตใจเป็นอย่างมาก

  4. รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ในปริมาณที่เพียงพอ
    การรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ในปริมาณที่เพียงพอช่วยเสริมประสิทธิภาพการทำงานของร่างกายส่วนต่างๆ รวมถึงการหลั่งฮอร์โมนให้อยู่ในระดับปกติ ช่วยลดโอกาสที่จะเกิดความเจ็บป่วยทางจิตได้[14] 
    • ลดการบริโภค อาหารที่มีน้ำตาลสูง / ไขมันทรานส์สูง เพราะจะก่อเกิดให้ร่างกายแย่ในหลายด้านรวมถึง การอักเสบของร่างกาย (Inflammation) เป็นหนึ่งในสาเหตุของโรคซึมเศร้า
    • ลดการบริโภค อาหารที่ผ่านการแปรรูป (Processed Foods) เพราะอาหารแปรรูปมักผ่านการเติมแต่งสารต่างๆ เช่น ผงชูรศ เกลือ น้ำตาล สารกันบูด สารคงรูป สีอาหาร ฯลฯ เพื่อให้อาหารต้นทุนต่ำขายได้นาน กินง่าย อร่อยถูกปาก แต่สร้างข้อเสียต่อสุขภาพในหลายด้านมากๆ


ไซโคไบโอติก (Psychobiotics) เป็นโพรไบโอติกที่ช่วยปรับอารมณ์ ลดความเครียดหรือโรคซึมเศร้าได้ไหม? [15]

หัวข้อเกี่ยวกับโพรไบโอติกช่วยปรับอารมณ์หรือโพรไบโอติกช่วยซึมเศร้า เป็นอีกหนึ่งหัวข้อที่ได้รับความสนใจทางการแพทย์ ซึ่งโพรไบโอติกที่ได้รับความสนใจมีชื่อเรียกว่า Psychobiotics โดย Psychobiotics คือ กลุ่มโพรไบโอติกที่มีส่วนช่วยในการช่วยส่งเสริมสุขภาพจิต ซึ่งมีงานวิจัยและหลักฐานในปัจจุบันชี้ให้เห็นว่า โพรไบโอติกสายพันธุ์เฉพาะ สามารถลดอาการซึมเศร้าและความวิตกกังวลได้ [15] และมีประโยชน์ต่อทั้งทางร่างกายและทางจิตใจ (ต้องเลือกทานโพรไบโอติกที่ระบุถึงระดับสายพันธุ์ Strain เท่านั้น อ่านเพิ่มเติมเรื่องสายพันธุ์ได้ที่นี่)

ประโยชน์ของไซโคไบโอติก (Psychobiotics) ต่อสุขภาพจิต

โดยมีงานวิจัยและการศึกษามากมายที่ระบุว่าการรับประทานโพรไบโอติกส่งผลดีต่อสุขภาพจิต มีผลต่อการทำงานและการผลิตสารสื่อประสาทหลายชนิดที่มีผลต่ออารมณ์ [16]โดยจะสรุปประโยชน์เป็นข้อๆ ดังนี้

  1. ช่วยเพิ่มจำนวนเซลล์สื่อประสาท (Neurotransmitters) สารเคมีที่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อส่งสัญญาณจากเซลล์ประสาทหนึ่งไปยังอีกเซลล์หนึ่ง เพื่อการแสดงอารมณ์หรือการทำงานของร่างกายต่างๆ เช่น กรดแกมมา-อะมิโนบิวทีริก (GABA), เซโรโทนิน, คาเทโคลามีน, อะเซทิลโคลีนซึ่ง ส่งผลต่อความอยากอาหาร อารมณ์ และการนอนหลับให้เป็นปกติ [17]
    neurotransmitters คือ-สารสื่อประสาท คือ
  2. ลดระดับคอร์ติซอล (Cortisol) หรือฮอร์โมนความเครียด หากร่างกายผลิตฮอร์โมนคอร์ติซอลมากเกินไป อาจก่อให้เกิดอาการหรือโรคต่าง ๆ ได้ เช่น ไม่มีแรง เกิดปัญหาด้านการนอนหลับ(โรคนอนไม่หลับ Insomnia) ระบบภูมิคุ้มกันทำงานบกพร่อง เกิดภาวะสมองล้า และก่อเกิดโรคอื่นตามมา
    คอร์ติซอล-Cortisol-ฮอร์โมนความเครียด
  3. ส่งผลต่อการทำงานของ Gut-Brain Axis จะช่วยควบคุมระดับฮอร์โมนไม่ให้เกิดผลทางลบต่อการทำงานของลำไส้และมีผลต่อสมอง ที่สำคัญยังส่งผลต่อการทำงานของอวัยวะในหลายๆ ระบบ เช่น
    • Central Nervous System | ระบบประสาทส่วนกลาง
    • Enteric Nervous System | ระบบประสาทลำไส้
    • Neuroendocrine System | ระบบต่อมไร้ท่อ
    • Neuroimmune System | ระบบประสาทภูมิคุ้มกัน
    • Hypothalamic-Pituitary-Adrenal Axis | แกนไฮโปทาลามัส-พิทูอิทารี-อะดรีนัล
    • Autonomic Nervous System | ระบบประสาทอัตโนมัติ
    • Vagus Nerve | ประสาทวากัส
    • Gut Microbiota | จุลินทรีย์ในลำไส้
    • Metabolism | การเผาผลาญพลังงาน
      มีผลต่อร่างกายในการทำงานต่างๆ ซึ่งนับรวมถึงการย่อยอาหาร, ระบบภูมิคุ้มกัน, อารมณ์, ความเครียด, ความรู้สึกทางเพศ, อารมณ์ของเรา, การเก็บและใช้พลังงานของร่างกาย เป็นต้น  [18] [19]
      Psychobiotics คือ-ไซโคไบโอติก-Gut-Brain Axis  คือ-HPA Axis คือ
  4. ลดการอักเสบของร่างกาย (Inflammation) ช่วยลดการอักเสบทั่วร่างกายและสมอง ซึ่งมีผลต่อโรคซึมเศร้าโดยตรง [19] การอักเสบของร่างกาย เช่น ปวดกล้ามเนื้อ ข้อต่อบ่อยๆ จะกระตุ้นการทำงานของเกล็ดเลือด ทำให้ร่างกายเครียดจากปฏิกิริยาออกซิเดชั่น (Oxidative stress) เป็นภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อร่างกายขาดความสมดุลระหว่างอนุมูลอิสระและสร้างความเสียหายต่อเซลล์ และเกิดภาวะไนโตรเซทีฟ (Nitrosative stress) ต่อซึ่งเป็นผลกระทบต่อประสิทธิภาพของการป้องกันของน้ำตาลกลูโคส-อินซูลิน ก่อเกิด โรคอื่นๆ ตามมาที่มีผลต่อทั้งร่างกายและจิตใจ เช่น โรคอ้วน, โรคเบาหวาน, โรคหัวใจและหลอดเลือด
    Chronic inflammation-ภาวะอักเสบ-การอักเสบเรื้อรัง
  5. ส่งผลต่อประสิทธิภาพของ Enterochromaffin Cells เป็นเซลล์ในระบบทางเดินอาหาร ทำหน้าที่สร้างสารสื่อประสาทที่ชื่อว่า เซโรโทนิน (Serotonin) ช่วยให้สุขภาพจิตดี อารมณ์ดี มีสมาธิ และมีผลต่อการขับถ่ายและการเคลื่อนตัวของลำไส้ [20]
    ประโยชน์โพรไบโอติก-ประโยชน์ซินไบโอติก
  6. มีผลงานวิจัยว่าไซโคไบโอติกสามารถช่วยบรรเทา หรือมีผลเชิงบวกต่อการรักษา โรคที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพจิตซึ่งยังมีผลต่ออาการหรือภาวะต่างๆ ของร่างกายอีกด้วย (เพราะโรคทางสุขภาพจิตมีผลเสียต่อร่างกายและก่อเกิดโรคอื่นๆ เพิ่มตามมา) ตามตารางดังนี้
โรคหรืออาการทางจิตโรคหรืออาการทางร่างกาย
โรคซึมเศร้า (Depressive Disorder)โรคกระเพาะ
โรคนอนไม่หลับ (Insomnia)โรคลำไส้แปรปรวน IBS
โรควิตกกังวล (Anxiety Disorder)อาการปวดเมื่อยตามตัว กล้ามเนื้อและข้อต่อ
โรคแพนิค (Panic Disorder)ภาวะเบื่ออาหาร
โรคอารมณ์แปรปรวน (Bipolar Disorder)ร่างกายเพลีย ไม่มีแรงเรื้อรัง (Chronic Fatigue Syndrome)

* ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์เฉพาะของไซโคไบโอติกที่เลือกทาน เพราะจะส่งผลต่อร่างกายที่แตกต่างกัน เช่น โพรไบโอติกสายพันธุ์ Bifidobacterium longum R0175 จะเด่นเรื่องการรักษาอาการทางจิตมากกว่ามีผลต่อร่างกายอย่าง โรคซึมเศร้า หรืออารมณ์แปรปรวน แต่โพรไบโอติกสายพันธุ์ Lactobacillus casei Shirota ช่วยปรับอารมณ์นิดหน่อยแต่เด่นไปในด้านการรักษาอาการที่เกี่ยวข้องกับจิตใจต่อร่างกาย เช่น อาการร่างกายเพลีย ไม่มีแรงเรื้อรัง (Chronic Fatigue Syndrome)  [18]

โดยโพรไบโอติกนั้นไม่ได้มีส่วนช่วยแค่สุขภาพจิตและช่วยลดอาการซึมเศร้า แต่ยังมีประโยชน์ต่อระบบทางเดินอาหาร ช่วยย่อย ดูดซึมสารอาหาร อีกทั้งยังส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง และหากเรารับประทานโพรไบโอติกที่มีความหลากหลายของสายพันธุ์ โพรไบโอติกเองก็จะให้ประโยชน์ต่อร่างกายในหลายๆ ด้าน ซึ่งขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ที่เรารับประทาน ดังภาพตัวอย่างสรุปประโยชน์ของโพรไบโอติก[20][21]

รวมประโยชน์โพรไบโอติก-รวมประโยชน์โปรไบโอติก

ซึ่งเราสามารถรับประทานอาหารที่มีจำนวนโพรไบโอติกสูงอย่าง โยเกิร์ต นมเปรี้ยว ชีสบางชนิด ผักดองอย่างกิมจิ หรือเลือกทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารโพรไบโอติกที่มีการระบุสายพันธุ์อย่างชัดเจนเพื่อตรงต่อปัญหาสุขภาพที่เราต้องแก้ปัญหา และที่สำคัญต้องไม่ลืมที่จะออกกำลังกายสม่ำเสมอ ทำกิจกรรมช่วยผ่อนคลาย เพียงเท่านี้ก็จะลดความเสี่ยงในการเป็นโรคซึมเศร้าได้แล้ว

อ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารโพรไบโอติก ที่มีสายพันธุ์เฉพาะ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส เอชเอ็น019 (Bifidobacterium Lactis HN019) ได้ที่ลิงค์นี้
www.zenbiohealth.com/th/pro-bl8-th-โพรไบโอติก

แหล่งที่มาข้อมูลและอ้างอิง
[1][2][3][4][5][6][7][8][9][10][11][12][13][14][15][16][17][18][19][20][21]

บทความที่เกี่ยวข้อง

เซนไบโอจัดแสดงสินค้าที่ สำนักวิชาเวชศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง

22 มกราคม 2024

  |  

ข่าวสาร , กิจกรรม

เซนไบโอ ได้แนะนำ ผลิตภัณฑ์โพรไบโอติกส์ Zenbio ProBL8 ที่สำนักวิชาเวชศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง กรุงเทพฯ

เจาะลึกโรคซึมเศร้าและประโยชน์ไซโคไบโอติก (Psychobiotics)

11 มกราคม 2024

  |  

เคล็ดลับ ดูแลสุขภาพ

ทำความรู้จักกับโรคซึมเศร้าแต่ละประเภท สาเหตุ และอันตรายของโรค พร้อมแนะนำวิธีดูแลสภาพจิตใจพื้นฐานกับไซโคไบโอติก โพรไบโอติกช่วยโรคซึมเศร้า

โพรไบโอติกกับโรคเครียดและอาการนอนไม่หลับ

27 ธันวาคม 2023

  |  

เคล็ดลับ ดูแลสุขภาพ

ทำความรู้จักกับโรคเครียดและอาการนอนไม่หลับ สาเหตุ และอันตรายของโรค พร้อมแนะนำวิธีดูแลสภาพจิตใจพื้นฐานกับโพรไบโอติกช่วยปรับอารมณ์ ลดความเครียด และช่วยให้นอนหลับได้ดียิ่งขึ้น

8 อาหารที่ควรเลี่ยง เสี่ยงตกขาว

27 ธันวาคม 2023

  |  

ความรู้อาหาร และโภชนาการ

การมีตกขาวนับเป็นเรื่องปกติสำหรับผู้หญิง ที่มักจะเกิดขึ้นในทุกๆ เดือน ไม่ว่าจะเป็นในระหว่างช่วงรอบประจำเดือนหรือตั้งครรภ์ อย่างไรก็ตาม อาการตกขาวอาจเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่า เรากำลังมีปัญหาสุขภาพช่องคลอดก็เป็นได้

รวม 5 วิธีลดน้ำหนักง่ายๆ ด้วยการคุมอาหาร

19 ธันวาคม 2023

  |  

ความรู้อาหาร และโภชนาการ

มาสำรวจวิธีการลดน้ำหนักผ่านการควบคุมการรับประทานอาหารรูปแบบต่างๆ เพื่อประโยชน์ต่อร่างกายและสุขภาพที่แข็งแรง พร้อมรู้จักกับโพรไบโอติกลดน้ำหนัก

ซึมเศร้าอาการซ่อนเร้น…เอ๊ะ เราเป็นหรือเปล่า

29 พฤศจิกายน 2023

  |  

เคล็ดลับ ดูแลสุขภาพ

Zenbio พามาทำความรู้จักกับโรคซึมเศร้าซ่อนเร้นที่หลายคนอาจยังไม่เคยทราบแตกต่างจากโรคซึมเศร้าอย่างไร พร้อมหาคำตอบกันว่าโพรไบโอติกช่วยลดซึมเศร้าได้จริงหรือไม่